วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อะไรคือ PPI, DPI มีเอาไว้ทำอะไร


ผมมักจะได้คำถามจากนักศึกษาบ่อยๆว่าอะไรคือ PPI และอะไรคือ DPI ? พบเจอบ่อยๆตอนใช้ Photoshop หรือตอนเอางานไปพิมพ์ Inkjet ที่คนพิมพ์มักจะบอกว่า "Save มา 300 DPI นะไม่งั้นภาพไม่คม" จึงคิดว่ามาเขียนอธิบายใน Blog น่าจะดี หากใครสนใจก็มาหาอ่านเอาเพิ่มเติมเป็นความรู้ ผมจะพยายามเล่าสั้นๆประกอบภาพให้เข้าใจได้ครับ


เริ่มเล่าเลยละกัน ทั้ง PPI และ DPI ต่างก็เป็นหน่วยความละเอียดของการแสดงผล มักใช้กับการแสดงผลต่างๆเช่นบนจอคอมพิวเตอร์ มือถือ Tablet หรือแม้แต่กระทั่งบนกระดาษ
ความหมายของทั้งสองอันนี้คล้ายกันมาก แต่แตกต่างกันตรงที่สื่อที่ใช้ PPI เป็นหน่วยที่กับจอภาพต่างๆ DPI นั้นใช้กับสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ




PPI คืออะไร?

PPI นั้นย่อมาจาก Pixel per Inch
นึกภาพง่ายๆว่าบนจอภาพที่เรากำลังมองอยู่นี้ ประกอบไปด้วยก้อน LED สี เล็กๆจำนวนมากเล็กจนถ้าอยากเห็นคงต้องเอาแว่นขยายส่อง เราเรียกก้อนสีเหล่านี้ว่า Pixel



ถ้าแบบนั้นเราคงพอนึกออกแล้วว่า Pixel per inch หมายถึง"จำนวนของจุด Pixel ในระยะความยาว 1 นิ้ว"นั่นเอง


แล้ว DPI ล่ะคืออะไร

DPI ย่อมาจาก  Dot per Inch
สังเกตุได้ว่าหน่วยคล้ายกันเปลี่ยนแค่ Pixel เป็น Dot เท่านั้น DPI เป็นหน่วยที่ใช้กับสื่อสิ่งพิมพ์โดยกำหนดเป็น"จำนวนจุดที่เครื่องพิมพ์พ่นหยดหมึกสีต่างๆลงไปบนกระดาษในระยะความยาว 1 นิ้ว"

แล้ว PPI กับ DPI เกี่ยวกันอย่างไร?

PPI ถึงจะเป็นหน่วยที่ใช้กับจอภาพแล้วแต่ยังใช้รวมไปถึงกำหนดขนาดของ Pixel บนสิ่งพิมพ์ เมื่อ Save file แล้วค่า PPI จะเปลี่ยนเป็น DPI ฝั่งอยู่ในตัวไฟล์เพื่อเป็นไกด์ไลน์สำหรับขนาดของภาพบนสื่อสิ่งพิมพ์


ตรงนี้เริ่มจะซับซ้อนมากขึ้นนิดนึง เริ่มกันด้วยตัวอย่างที่เข้าใจง่ายกันดีกว่า เช่น ถ้าเราสั่งพิมพ์รูปภาพขนาด 300 × 300 Pixels ตั้งค่าที่ความละเอียด 300 PPI (เท่ากับขนาด 1 × 1 นิ้วบนกระดาษ) หลัง Save ไฟล์ ตัวเลข 300 จะมีหน่วยเป็น DPI ฝั่งอยู่ในไฟล์ภาพ(เอาจริงๆนะ...ไม่รู้ตรงนี้จะเปลี่ยนหน่วยทำไมให้สับสน)

หลังจากนั้นเอาไปพิมพ์ที่ Printer ทั่วไป ที่ความละเอียดส่วนใหญ่สามารถพิมพ์ได้ 1,200 DPI ตัวเลขนี้เป็นความละเอียดในการพิมพ์ของเครื่อง Printer ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขนาดของภาพเวลาพิมพ์ แบบเดียวกับที่เรา Set Quality การพิมพ์ High, Normal, Low ที่พิมพ์ออกมาแล้วสีฉ่ำเกิน สีสดปกติ หรือสีจางเห็นเป็นจุดๆ นั่นคือการตั้งค่า DPI ของเครื่องพิมพ์นั่นเอง

ถ้าเราตั้งค่าเครื่อง Print ที่ 1200 DPI เวลาพิมพ์หากสังเกตุ Pixel แต่ละช่องในภาพจะถูกหมึกสีต่างๆพ่นลงไป (1,200/300) × (1,200/300) เป็น  4 × 4 (กว้างxยาว)หรือจำนวนทั้งหมด16 จุดต่อ 1 ช่อง Pixel เพื่อผสมสีทางสายตาให้เรามองเห็นสีถูกต้องตามที่ช่อง Pixel กำหนดมา
ภาพจาก Wikipedia

นั่นแปลว่า DPI ของเครื่อง Printer ยิ่งความละเอียดมาก ก็จะทำให้ Pixel มีสีเนียนยิ่งขึ้น ถูกต้องมากขึ้น แต่ก็จะใช้หมึกเยอะขึ้น และพิมพ์ช้าลง นั่นเอง
แต่การตั้งค่า DPI สำหรับเครื่องพิมพ์ให้เหมาะสม ยังขึ้นอยู่กับชนิดของกระดาษ และเทคโนโลยีการพิมพ์ของแต่ละผู้ผลิตที่แตกต่างกัน และสื่อแต่ละแบบก็ใช้ความละเอียดที่แตกต่างกันตามต้นทุน และเวลาในการผลิต

แล้วใช้อย่างไร?

ถึงตอนนี้ถ้าเราเป็นแค่ Designer ผมแนะนำว่าให้ถือขนาดของ PPI เป็นหลักเพื่อกำหนดขนาดของภาพจะดีที่สุด

 เช่น ภาพขนาด 300 × 300 Pixels ถ้าถูกกำหนดให้พิมพ์บนกระดาษ A4 ด้วยความละเอียด 300 PPI หมายความว่า เราจะได้รูปขนาดเท่ากับ (300/300) × (300/300) = 1 × 1 นิ้วหรือถ้าพิมพ์ด้วยความละเอียด150 PPI รูปขนาด (300/150) × (300/150)= 2 × 2 นิ้ว ด้วยขนาด  Pixel เท่าๆกัน ถึงจะได้รูปขนาดใหญ่ขึ้น แต่แน่นอนว่าคุณภาพก็ลดลงไปด้วยเพราะขนาดก้อน Pixels ที่ใหญ่ขึ้นเห็นได้ชัดขึ้น แต่มีจำนวน Pixels เท่าเดิมไม่ได้มากขึ้นแต่อย่างใด


*Software ดูภาพทั่วๆไปบางครั้งจะเปลี่ยนขนาดเป็น fit to page อัตโนมัตินั่นหมายความว่า PPI,DPI ของไฟล์ ก็จะเพี้ยนไปด้วย ทางที่ดีพิมพ์จากโปรแกรมที่ปรับค่า PPI, DPI ตรงนี้ได้จะดีทีสุด เช่น Photoshop 


แล้วเราควรใช้ค่า PPI, DPI เท่าไหร่ ตอนไหนดี?

สำหรับ Designer ค่า PPI, DPI มักจะขึ้นอยู่กับระยะการมองเห็น และสื่อที่เลือกใช้ตามลำดับ

สำหรับระยะการมองเห็น

ยิ่งใกล้ยิ่งต้องละเอียดสูง เช่นหากเป็นหนังสือ เราก็มักจะใช้ที่ 300 PPI หรือหน้าจอมือถือ ก็ควรใช้ที่ตัวเลขใกล้เคียงกันคือราวๆ 300-400 DPI ถามว่าน้อยกว่านั้นได้ไหม ....ได้ครับ เช่น 100 หรือ 150 PPI ก็ยังสามารถอ่าน และดูภาพได้ตามปกติ เพียงแค่ขาดความคมชัดไปบ้างเท่านั้น



หากระยะยิ่งไกลความต้องการความละเอียดจะยิ่งต่ำ เช่น Billboard อาจจะใช้ค่าเพียง 45 PPI หรือบางกรณีอาจจะน้อยกว่านั้นมาก เพราะเมื่อมองจากที่ไกลๆเราก็จะมองเห็น Pixel ที่ขยายออกมาเป็นเพียงจุดเล็กๆเท่านั้น

สำหรับสื่อที่ใช้

อันนี้หลักๆขึ้นกับขีดจำกัดทางการแสดงผลของสื่อนั้นๆเป็นเหตุผลรองลงมาจากระยะการมองเห็น
  • หากใช้กับหน้าจอให้ดูตามขนาด Pixel แบบเต็มจอของจอที่ใช้ หลายที่มักจะแนะนำ ที่ 72 PPI แต่ในความเป็นจริงความละเอียดของจอยุคนี้ละเอียดมากกว่าเดิมเยอะ จอทั่วไปอยู่ที่ราวๆ 100 PPI จอความละเอียดสูงเช่น Retina Display อยู่ที่ราว 220 PPI  เอาเข้าจริงๆรูปภาพที่เปิดขึ้นมาสามารถปรับให้เข้ากับขนาดหน้าจอได้อยู่แล้วจึงไม่ต้องกังวลมาก แค่ให้ขนาดไม่ต่ำกว่าขนาด Pixel ของหน้าจอมากนักก็เพียงพอ
  • ใช้กระดาษธรรมดา Printer Inkjet ทั่วไป แนะนำให้ตั้งค่าที่ 150 PPI 
  • ใช้กับโรงพิมพ์ หรือเครื่องพิมพ์ที่มีความละเอียดสูง กระดาษที่มีคุณภาพสูงแนะนำให้ตั้งค่าที่ 300 PPI


แล้วถ้างั้นเวลาออกแบบสรุปว่าต้องกำหนดขนาดอย่างไรดี?

เลือกค่า PPI ที่ใช้  × ความยาวแต่ละด้านของสื่อที่จะใช้(หน่วยนิ้ว) = ขนาดของแต่ละด้าน(Pixels)

เช่น ถ้าเป็นกระดาษธรรมดา Printer Inkjet ทั่วไป ขนาด A4 (8.27 × 11.69 นิ้ว) ก็ใช้ภาพทีมีขนาด
กว้าง 8.27 × 150 = 1240 Pixels
ยาว 11.69 × 150 = 1754 Pixels
จะพิมพ์ออกมาได้เต็มแผ่นและมีคุณภาพเหมาะสมใช้งานได้

ทิ้งท้ายสักนิด

PPI และ DPI  นั้นเป็นต่างตัวเลขที่ใช้กำหนดความละเอียดในเรื่องของการแสดงผลทั้งคู่ แตกต่างกันที่อุปกรณ์แสดงผลว่าจะเป็นจอ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ ตัวเลขจะแปรตามระยะการมองเห็น และชนิดของสื่อเป็นหลัก แต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามเงื่อนไขอื่นๆอีกมากมาย ขึ้นอยู่กับการใช้งานของเราๆนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น